14 มิถุนายน, 2552

Data Com คาบสอง

Data Com คาบ 2 เรียนเรื่อง
Protocol คือ กฎที่ทำให้ผู้รับเข้าใจข้อมูลที่ผู้ส่งส่งไป Protocol จะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่
- Syntax คือ โครงสร้างของข้อมูลที่ส่งไป
- Semantics คือ ความหมายของข้อมูลแต่ล่ะ bits ว่ามันหมายถึงอะไร
- Timing คือ การที่จะโชว์ว่าการส่งข้อมูลจะถึงผู้รับเวลาไหน และ มีความเร็วในการส่งเท่าไหร่

Standards คือ มาตรฐานที่ทำให้ Hardware และ Software ที่ต่างยี่ห้อ ต่างรุ่นกัน สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่มีราคาจำหน่ายลดลง
ชนิดของมาตรฐานแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- Formal Standards คือ มาตรฐานที่กำหนดโดยโรงงานหรือรัฐบาล เช่น Main board ในปัจจุบันต้องมี USB เป็นต้น
- De-facto Standards คือ มาตรฐานที่มาจากบริษัท เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนมากจะลง Window เป็นต้น

ตัวอย่างมาตรฐานต่างๆ
- ISO [International Organization for Standardization] คือ องกรค์ที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลต่าง ซึ่งองกรค์นี้เป็นองกรค์ที่พัฒนา OSI อีกด้วย
- ITU-T [International Telecommunications Union Telecom Group] คือ องกรค์ที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ Modem เช่น Modem Series V เป็นต้น
- ANSI [American National Standards Institute] คือ องกรค์ที่ให้มาตรฐานแก่สิ่งต่างๆ
- IEEE [Institute of Electrical and Electronic Engineers] คือ องกรค์ที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ LANS, Wireless
-IETF [Internet Engineering Task Force] คือ องกรค์ที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ Internet

Layered Tasks คือ ชั้นการทำงานซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบได้แก่
-Single layer implementation คือ การทำงานแบบชั้นเดียวที่รวมทุกอย่างไว้ในชั้นเดียว มีข้อดี คือ ทำงานเร็ว แต่มีข้อเสีย คือ มีความซับซ้อนของระบบมาก, เครื่องที่เชื่อมต่อกันต้องเป็นแบบเดียวกันและเวลาเสียจะต้องซ่อมทั้ง Layer
- Multi layer implementation คือ การทำงานแบบหลายชั้น ทำงานจากการสั่งจากชั้นบนลงสู่ชั้นล่าง มีข้อดีคือ เวลาเสียสามารถแยกซ่อม Layer ที่เสียได้และ เครื่องที่เชื่อมต่อกันสามารถเป็นเครื่องที่แตกต่างกันได้ มีข้อเสียคือ ทำงานช้า

OSI คือการเชื่อมต่อรูปแบบหนึ่ง แบ่งการทำงานออกเป็น 7 ชั้นได้แก่
1>Physical Layer ชั้นนี้คือชั้นล่างสุดมีหน้าที่กำหนดหน้าตาของข้อมูลและส่งข้อมูลเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่าข้อมูลนั้นจะถูกหรือผิด การส่งนี่รวมถึงการส่งจาก Com to Router หรือ Router to Router ด้วย
2>Data Link Layer คือ ชั้นถัดจาก Physical Layer มีหน้าที่ตรวจสอบ Frames ของข้อมูลว่าถูกหรือผิดและมีหน้าที่ส่งข้อมูลจาก Computer ไปยัง Router หรือ Router ไปยัง Router เท่านั้น ไม่ใช่การส่งจากเครื่องต้นทางไปยังเครื่องปลายทาง
3>Network Layer คือ ชั้นถัดจาก Data Link Layer มีหน้าที่รวมข้อมูลที่จะส่งเป็น Packets เดียวกันโดยพูดถึงการส่งจาก เครื่องต้นทาง ไปยังเครื่องปลายทางเท่านั้น
4>Transport Layer คือ ชั้นถัดจาก Network Layer มีหน้าที่จัดการว่าข้อมูลไหนจะส่งไปให้โปรแกรมไหน
5>Session Layer คือ ชั้นถัดจาก Transport Layer มีหน้าที่กำหนดจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของข้อมูล [ความยาวของข้อมูล] และกำหนดจุด Check Point ของการส่งข้อมูล
6>Presentation Layer คือ ชั้นถัดจาก Session Layer มีหน้าที่ แปลงโค้ด, บีบอัดข้อมูลและเข้ารหัส
7>Application Layer ชั้นนี้ คือ ชั้นบนสุดมีหน้าที่ จัดการนำเสนอข้อมูลต่างๆที่ User ต้องการ แต่ไม่ใช่ GUI

TCP/IP Protocol Suite คือการเชื่อมต่ออีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีการรวม Application Layer, Presentation Layer และ Session Layer เป็นชั้นเดียวกันโดยเรียกรวมกันว่า Application Layer

Addressing คือที่อยู่ของ Layer ต่าง โดยแต่ล่ะ Layer จะมีที่อยู่แตกต่างกัน
TCP/IP จะแบ่ง Address ออกเป็น 4 Address ได้แก่
1>Specific Address คือ Address ของ Application Layer ตัวอย่างเช่น Address ของ Server เป็นต้น
2>Port Address คือ Address ของ Transport Layer ซึ่งจะหมายถึง Address ของ Program นั่นเอง โดยจะนำเสนอเป็นตัวเลขเช่น 80, 753 เป็นต้น
3>Logical Address คือ Address ของ Network Layer ซึ่งก็คือ IP Address นั่นเอง โดยจะนำเสนอเป็นตัวเลข อย่างเช่น 192.168.0.1 เป็นต้น4>Physical Address คือ Address ของชั้นที่ Data Link Layer และ Physical Layer มารวมกัน ซึ่งจะหมายถึง Address ของ LAN Card นั่นเอง หรือเรียกอีกอย่างว่า Mac Address ก็ได้ ตัวอย่างเลข Mac Address ได้แก่ 07:01:02:01:2C:4B ซึ่งตัวเลขนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ไม่มีความคิดเห็น: