Datacom คาบที่ 9 เรียนเรื่อง
- High-Level Data Link Control [HDLC] คือ มาตรฐานที่ถูกพัฒนาโดย ISO มีการทำงานคล้าย SDLC ยกเว้น มีที่อยู่และ Control field ยาวกว่า, มี Window size ที่ใหญ่กว่าและอื่นๆอีกมากมาย และเป็นพื้นฐานสำหรับ Data Link Layer Protocol อื่นๆ
- Normal Response Mode [NRM] สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทได้แก่
1>Point-to-point [จุดต่อจุด] คือ การส่งข้อมูลที่เครื่อง Secondary จะส่งไปยังเครื่อง Primary ได้ก็ต่อเมื่อเครื่อง Primary ร้องขอเท่านั้น
2>Multipoint [หลายจุด] คือ มีการทำงานคล้าย Point-to-point แต่ Secondary จะมีหลายเครื่อง
- Asynchronous Balance Mode ไม่มีเครื่อง Primary และเครื่องSecondary และสนับสนุนการทำงานแบบจุดต่อจุดเท่านั้น
- HDLC frame สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
1>Information Frame [I-Frame] คือ Frame ที่ผู้ส่งใช้ส่งข้อมูล สามารถดูว่าเป็น I-Frame ได้โดยการดู Bit ทางซ้ายสุดใน Control ว่าเป็น 0 หรือไม่
2>Supervisory Frame [S-Frame] คือ Frame ที่ไม่มีข้อมูลบรรจุไว้ใช้สำหรับการร้องขอข้อมูลจากเครื่องอื่นๆ สามารถดูว่าเป็น S-Frame ได้โดยการดู 2 Bit ทางซ้ายสุดใน Control ว่าเป็น 1 กับ 0 หรือไม่
3>Unnumbered Frame [U-Frame] คือ Frame ที่ใช้สำหรับ Establish และ Terminate การเชื่อมต่อ สามารถดูว่าเป็น S-Frame ได้โดยการดู 2 Bit ทางซ้ายสุดของ Control ว่าเป็น 1 กับ 1 หรือไม่
- Ethernet [IEEE 802.3] คือ Byte-count data link layer protocol ใช้ Contention based media access control ในการควบคุม, ไม่มีปัญหาในการใช้งานที่เห็นได้อย่างชัดเจนและ สามารถใช้การตรวจจับข้อผิดพลาดได้หลายรูปแบบ Ethernet มีการใช้อย่างกว้างขวางใน LAN protocol
- Point-to-point [PPP] คือ Byte-oriented protocol ที่ถูกพัฒนาในยุค 90 ใช้มากในการเชื่อมต่อ PC ที่บ้านกับ ISP ที่ให้บริการ โดย PPP frame format จะใช้เพียง U-Frame และมี Address เป็น 11111111 เสมอเพราะเป็นการต่อแบบจุดต่อจุด PPP จะมีการใช้ Protocol ดังต่อไปนี้
1>LCP Packet คือ Protocol ตัวแรกที่ PPP ใช้สำหรับ Establish และ Terminate การเชื่อมต่อ
2>PAP Packet คือ Protocol ที่เอาไว้สำหรับการ Authenticate user [ยืนยันผู้ใช้] แต่มีปัญหาใหญ่คือ รหัสที่ผู้ใช้ใส่ไปนั้นจะถูกส่งผ่านเครือข่าย ทำให้อาจจะมีคนดักจับรหัสนี้ได้ทำให้ต้องมีการพัฒนา Protocol ขึ้นมาใหม่เรียกว่า CHAP โดยมีหลักการทำงานคือ ISP จะส่งตัวเลขมาให้ผู้ใช้เอามาคำนวณกับรหัสที่ตัวเองมีแล้วส่งสิ่งที่คำนวณได้กลับไปเพื่อให้ ISP เอาสิ่งที่ได้ไปคำนวณหารหัสเพื่อยืนยันว่าใช่ผู้ใช้จริงหรือไม่
3>IPCP คือ Protocol ที่เอาไว้สร้างการเชื่อมต่อและตัดการเชื่อมต่อใน Network Layer
4>IP คือ Protocol ที่เอาไว้ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายใน Network Layer
Transmission Efficiency [ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล] จะขึ้นอยู่กับ
1>เป้าหมายของเครือข่ายนั้น
2>สิ่งที่เกิดผลกระทบกับเครือข่าย อย่างเช่น คุณสมบัติของสายนำสัญญาณ, ความเร็วของอุปกรณ์, เทคนิคการควบคุมข้อผิดพลาดและ Protocol ที่ใช้
Transmission Efficiency สามารถคำนวณได้จาก
Total number of info bits to be transmitted/Total number of bits transmitted
ตัวอย่างการคำนวณ
1>Async Transmission:
7-bit ASCII (info bits), 1 parity bit, 1 stop bit, 1 start bit
Transmission Efficiency = 7/10 = 70%
2>SDLC Transmission:
Assume 100 info characters (800 bits), 2 flags (16 bits), Address (8 bits), Control (8 bits), and CRC (32 bits)
Transmission Efficiency = 800/864 = 92.6
ยิ่งมีความยาวของข้อความมากยิ่งมีประสิทธิภาพในการส่งมากแต่ยิ่งมีความยาวมากข้อผิดพลาดก็มากตามเช่นกัน ดังนั้น ความยาวของข้อความที่เราจะใช้ได้มากที่สุดคือ 1500 ถ้ามากกว่านี้ข้อผิดพลาดจะมากจนเกินไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น